วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

ภิรมย์ นันทวงค์ ผอ.สพป.ตากเขต 1 ม้าเฉียว : อัศวินผู้อาภัพ



 





ม้าเฉียว : อัศวินผู้อาภัพ
 ภิรมย์ นันทวงค์
ผอ.สพป.ตากเขต  1


ม้าเฉียว เป็นลูกคนโตของม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียง มีนิสัยกล้าหาญองอาจ   ว่ากันว่าในเสเหลียง ม้าเฉียว คือยอดฝีมือที่ไม่มีใครกล้าต่อกร จากความสามารถในการบังคับม้าอย่างยอดเยี่ยม บวกกับเพลงทวนอันว่องไว ทำให้ม้าเฉียวยามอยู่บนหลังม้านั้น ไร้เทียมทาน  ม้าเฉียวมีชื่อเสียงจากการสัปประยุทธ์ครั้งแรก ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปี เท่านั้น
           ตอนนั้นม้าเท้งกรีฑาทัพมาเพื่อช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้พ้นจากน้ำมือของทรราชย์ลิฉุยและกุยกีลิบ้องและอ่องหอง   แม่ทัพของลิฉุยอาสาออกรบตัดหัวม้าเท้งโดยเอาหัวตัวเองเป็นประกัน  ไม่เก่งจริงไม่แน่ใจว่าจะชนะ จะกล้าทำทัณฑ์บนหรือ  ม้าเท้งเองเมื่อเห็นลิบ้องและอ่องหองก็ยังไม่กล้าประมาท จึงตะโกนถามทหารว่า มีใครอาสาจะสู้กับลิบ้องและอ่องหองบ้าง   จุดประสงค์ของม้าเท้งคือ อยากลองหยั่งเชิงดูเฉยๆ ว่าลิบ้องกับอ่องหองจะเก่งซักแค่ไหน
           ในใจม้าเท้งเลือกคนไว้แล้ว  คนผู้นั้นคือบังเต๊กแม่ทัพอันดับหนึ่งของเสเหลียงในตอนนั้น    ก่อนที่บังเต๊กจะพยักหน้า   มิคาดกลับมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งควบม้าทะยานออกไปหาข้าศึก    ม้าเท้งแทบไม่เชื่อสายตา นั่นมันม้าเฉียว บุตรชายคนโตของตัวเอง   คิดได้แค่นั้นเหงื่อก็ไหลเป็นทาง แต่ก็ช้าไปม้าเฉียวออกไปถึงสมรภูมิรบแล้ว   อ่องหองเห็นผู้ที่ออกมาท้าสู้เป็นเด็กก็หัวเราะลั่น ว่าแล้วก็กระชากง้าวขึ้นม้าออกไปรบกับม้าเฉียว    แน่นอน...หากชนะได้ ขวัญทหารของศัตรูย่อมเสียไป แถมคู่ต่อสู้เป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบเจ็ด ศึกนี้ยังไงก็กินหมู
           อ่องหองมารู้ตัวว่าพลาด เมื่อง้าวของมันสัมผัสกับทวนของเด็กม้าเฉียว น่าเสียดายที่ไม่โอกาสแก้ตัว เพียงห้าเพลงทวน อ่องหองก็ถูกเด็กอายุสิบเจ็ดแทงตกม้าตาย   ลิบ้องแทบไม่เชื่อสายตาว่าเพื่อนรักจะต้องมีจุดจบแบบนี้ ก่อนที่ทหารจะขวัญเสีย จะต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมาให้ได้ เมื่อคิดดังนั้นจึงควบม้าจะออกไปสู้กับม้าเฉียว   ฝ่ายม้าเฉียวกำลังหันหลังจะกลับเข้าค่าย มองด้วยหางตาเห็นลิบ้อง แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็นโดยการควบม้ากลับเข้าค่ายช้าๆ  ม้าเท้งนั้นร้อนใจยิ่งนักเมื่อเห็นลิบ้องกำลังควบม้าเข้ามาจะฟันม้าเฉียว จึงตะโกนร้องสุดชีวิตบอกให้ม้าเฉียวระวัง   ลิบ้องคิดว่าม้าเฉียวต้องตายในดาบเดียวแน่ๆ จึงรีบขับม้าเข้าประชิด หวังฟันขาดสะพายแร่ง  ลิบ้องนั่นหารู้ไม่ว่า ยามม้าเฉียวอยู่บนหลังม้า แม้เป็นลิโป้สู้ก็ตามที ก็อาจจะตึงมืออยู่มิใช่น้อย   ก่อนที่ง้าวลิบ้องจะถูกม้าเฉียว ม้าเฉียวกลับบังคับม้าอย่างเหนือชั้น โดยการหันม้ากลับอย่างรวดเร็วพร้อมคว้าเอาตัวลิบ้องกลับค่ายมาด้วย
           ทหารของลิบ้องและอ่องหองต่างพากันเงียบ ไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่จะถูกจับง่ายขนาดนี้ ทหารของม้าเท้งได้ทีเลยไล่ฆ่าฟันทหารฝ่ายลิบ้องล้มตายเป็นอันมาก  นี่คือวีรกรรมครั้งแรกที่ทำให้ชื่อม้าเฉียว เริ่มมีชื่อเสียง
           ต่อมาเมื่อโจโฉลวงม้าเท้งไปฆ่า ม้าเฉียวให้แค้นใจยิ่งนัก จึงประกาศไม่ขออยู่ร่วมโลกกับโจโฉ
ศึกแรกกับโจโฉ    ม้าเฉียวไล่ตีกองทัพของจงฮิวและโจหองจนแตกพ่าย ทั้งจงฮิวและโจหองหนีกลับในสภาพปางตายทั้งคู่   โจโฉเห็นดังนั้นจึงยกทัพใหญ่มาเอง หวังประหารม้าเฉียวให้ตายตามม้าเท้งไปมิคาด! ศึกนี้จะเป็นศึกที่โจโฉต้องจำป็นที่รู้จักของใครต่อใคร
           โจโฉเคยถูกไล่ต้อนจนมุมเป็นครั้งแรกก็ด้วยฝีมือของม้าเฉียว   ถึงกับต้องตัดหนวดตัดเครา ถอดเสื้อผ้าทิ้งเพื่อหนีม้าเฉียว   ครั้งที่สองโจโฉเกือบตายอีกครั้ง ดีที่มีเคาทูเสี่ยงตายมาช่วยเลยรอดไปได้  ครั้งที่สามเป็นครั้งที่ทำให้ชื่อของม้าเฉียวนั้นขจรขจายไปทั่วแผ่นดิน ด้วยการดวลตัวต่อตัวกับเคาทู แม่ทัพที่เก่งที่สุดของวุยก๊ก   รบกันร้อยกว่าเพลง แต่ก็ยังไม่รู้แพ้ชนะ เปลี่ยนม้ามารบกันก็ยังไม่รู้ผล สู้กันจนทวนหักทั้งคู่ แล้วก็เอาทวนนั้นมาตีกันต่ออีก ก็ยังไม่รู้ผลอีก จนโจโฉต้องเรียกเคาทูกลับ เพราะขืนสู้กันไปก็เสียเวลาเปล่า

         การรบอันดุเดือด ความกล้าหาญที่กล้าดวลกับจอมพลังอันดับหนึ่งแห่งภาคเหนืออย่างเคาทู ทำให้โจโฉถึงกับเอ่ยปากว่า ในอนาคตเด็กคนนี้ต้องเป็นลิโป้คนที่สองแน่ๆ
         การรบครั้งสุดท้ายของม้าเฉียว ดุเดือดไม่แพ้ครั้งก่อน เนื่องจากคู่ต่อสู้คือ เตียวหุย น้องสามของเล่าปี่และกวนอู  เตียวหุยนั้น เคยตวาดคนตกม้าตายมาแล้ว เป็นคนที่โจโฉกลัวหัวหด มีฝีมือพอๆกับกวนอู
         ม้าเฉียวรบกับเตียวหุยอยู่สามวัน ก็ยังกินกันไม่ลง จนขงเบ้งต้องออกอุบายให้ม้าเฉียวมาเป็นพวก  5 ทหารเสือของจ๊กก๊ก  จึงเกิดขึ้น
         การรบครั้งสุดท้ายของม้าเฉียว เป็นการรบกับเล่าเจี้ยงแห่งเสฉวน  ซึ่งเป็นการชนะโดยไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่ขี่ม้าประชิดเมือง เล่าเจี้ยงก็ยอมแพ้ ทำให้เล่าปี่ได้เสฉวนมาครองตั้งแต่นั้นมา
         จากที่กล่าวมาทั้งหมด คงจะพอนึกออกถึงความเก่งกล้าและอาจหาญของม้าเฉียว   แต่ทว่าหลัง
จากนั้นชื่อของม้าเฉียวได้หายออกมาจากสามก๊ก มาปรากฎอีกทีก็ตอนที่ขงเบ้งรู้ว่าม้าเฉียวป่วยตาย
         ทำไม?  ม้าเฉียวที่ยังหนุ่มยังแน่นกำลังเข้าสู่วัยฉกรรจ์ อีกทั้งเป็นนักรบ จะมาป่วยตายง่ายๆได้อย่างไร หากม้าเฉียวไม่ป่วยกาย ยังมีสิ่งใดให้ป่วยอีกได้ หรือม้าเฉียวป่วยใจ  เป็นประเด็นที่น่าคิดยิ่ง
         ม้าเฉียวนั้นแค้นโจโฉสุดฤทธิ์สุดเดช  ที่มาอยู่กับเล่าปี่ก็เพราะต้องการฆ่าโจโฉ แต่ม้าเฉียวก็ไม่เคยได้รับมอบหมายให้ออกรบอีกเลย  น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ม้าเฉียวตรอมใจตาย
         สภาพจิตใจม้าเฉียวตอนนั้นเป็นอย่างไร  ลองๆดูความต่อไปนี้ เราเองเป็นบุตรของเจ้าเมือง เกิดมาในตระกูลขุนนาง เคยครองเมืองขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้แม้เมืองตัวเองก็ยังไม่มี ได้แต่อาศัยคนอื่นอยู่ร่ำไป อนึ่ง แค้นฆ่าพ่อ ฆ่าลูกเมีย ก็ยังมิได้ชำระสะสาง หากตายไป จะมีหน้าไปพบม้าเท้งและลูกเมียอย่างไร แต่หากไม่ตาย จะมองหน้าเหล่าทหารและชาวเสเหลียงได้อย่างไรกัน  น่าจะเป็นเพราะความกลัดกลุ้มนี้เองที่ทำให้ม้าเฉียวตรอมใจตาย   ช่างน่าสะเทือนใจยิ่งนักที่อัศวินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นลิโป้คนที่สอง ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนพลห้าทหารเสือผู้โด่งดัง กลับมีจุดจบไม่สวยเช่นนี้
        วิเคราะห์ชีวิตของม้าเฉียวแล้ว   มองเพียง ประเด็นก็น่าจะพอว่าเป็นบทเรียนที่ดีแก่ข้าราชการที่มีฝีมือ  ดังนี้
         1.เก่งในองค์กรที่ผิด  แม้เราจะมีความสามารถ หากไปอยู่ในที่ที่เราไม่สามารถแสดงความสามารถให้ปรากฏได้   ขุนทัพก็คงไม่ต่างอะไรกับพลทหารน้อยๆคนหนึ่ง.
        เล่าปี่เป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน  อ่อนโยนและปากหวานกับทุกคน  โบราณสอนไว้ว่าเวลาดูคน อย่าดูที่คำพูด ให้ดูที่การกระทำเป็นสำคัญ  การปากอย่างใจอย่างอาจเป็นสิ่งไม่ดีในหลายแง่มุม  แต่ในบางแง่มุมอาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็ได้
        คนที่บอกว่าจะสนับสนุนเรา จะช่วยเหลือเรา  หากเป็นความจริงดังคำพูด จะต้องมีอะไรแสดงให้เรารู้สึกได้ว่าเขาเริ่มทำให้เราแล้ว
        ในทางกลับกัน บางคนจะพูดจาน่าเชื่อถือ บอกจะให้นั่นให้นี่ จะทำนั่นทำนี่ แต่ถ้าไม่มีอะไรที่เห็นเป็นรูปธรรมเลย ก็จงอย่าไปเชื่อเป็นอันขาด
        ปากคนเวลาพูด ถ้าไม่รับผิดชอบในคำพูดก็พูดได้ทั้งนั้น ตอนพบกันใหม่ๆ เล่าปี่บอกม้าเฉียวว่าจะดูแลม้าเฉียวอย่างดี จะช่วยแก้แค้นให้ม้าเท้ง ซึ่งก็แน่นอนว่าเล่าปี่ต้องพูดอย่างนั้นเพราะเล่าปี่ต้องการได้ประโยชน์จากม้าเฉียว  การพูดให้ดูดีเข้าไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำเพราะมีแต่ได้กับได้
        2.เก่งผิดที่ผิดทาง   คนเก่งมักมีความมั่นใจในตนเองสูง  เพราะมีชั่วโมงบินยาวนานผ่านปัญหา อุปสรรคที่ต้องฝ่าฟันด้วยลำแข้งมานักต่อนัก  ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว  เมื่อพบความสำเร็จมากก็ยิ่งมั่นใจในตนเองมาก  จนถึงอาจมองเพื่อนร่วมงานเป็นคนด้อยความสามารถกว่าตน  แสดงพฤติกรรมยกตนข่มท่าน  คนเก่งและกร่างแบบนี้เหมาะสำหรับนายที่ไม่เก่งเพราะได้ช่วยนายคิดและทำงานช่วยนายได้มากมาย  จนคล้ายทำตนเสมือนเป็นนายเสียเอง   ถ้านายปล่อยปละละเลยก็เหมือนกับนายถูกจูงจมูก  องค์กรก็จะเปรียบได้กับกองทัพสิงโตมีลาโง่นำ   เล่าปี่แม้จะเป็นนายที่สุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน   แต่ด้วยวิสัยของผู้นำและความหยิ่งในศักดิ์ศรีของความเป็นเชื้อสายฮ่องเต้ที่อย่างน้อยก็เป็นคนฉลาดและมีฝีมือพอตัว  ก็คงจะมีวิจารณญาณในการใช้ลูกน้องว่าศึกแต่ละศึกนั้นควรจะใช้ใคร   นายทุกคนต้องการใช้ลูกน้องทำงานแล้วประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น
        3.เก่งผิดเวลา   คนเก่งอยู่ในหมู่คนเก่งย่อมเป็นเหมือนคนธรรมดา  ถ้าคนเก่งอยู่ในท่ามกลางของของคนธรรมดาคนเก่งย่อมโดดเด่น  คนเก่งต้องรู้จักรีดความเก่งของตนมาใช้ให้ถูกเวลา  ถ้ายามต้องการใช้ความเก่งแต่คนเก่งกลับทำตนเป็นคนธรรมดาย่อมจะหาประโยชน์ใดได้ยาก  คนจะดังและเด่นต้องมีปัจจัยสำคัญนี้เช่นกัน 
        “จระเข้ย่อมไม่ใหญ่กว่าหนอง”(แม้จะเป็นชาละวัน) นั่นคือไม่มีนายที่ไหนอยากเห็นลูกน้องที่เด่นเกิน  เพราะในสายตาของนายคงไม่มีเราเพียงคนเดียวที่เก่ง  ยังมีคนอื่นๆอีกมากมายที่เก่งแต่เขายังไม่ได้อวดหรือไม่มีโอกาส   อาจจะเป็นด้วยเหตุข้างต้นที่กล่าวม้าเฉียวจึงโดนเก็บเข้ากรุไปอย่างน่าเสียดาย       
        ดูหนังดูละครย้อนดูตัว  ม้าเฉียว  หนึ่งในห้าทหารเสือของจ๊กก๊ก  เลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกเก่งได้  ข้อสำคัญการเลือกเก่ง  ดันมาเก่งผิดที่ผิดเวลา  ชีวิตจึงมีความอนาถาเช่นนี้เอง.  



นางสมใจ วิริยะสุมน : บรรณาธิการ / ผู้พิมพ์และโฆษณา
หนังสือพิมพ์บ้านเรา 081 7279759(สำนักงาน)
E-mail : pollarchar@hotmail.com  (ส่งข่าว)
Facebook / หนังสือพิมพ์บ้านเรา จังหวัดตาก
YadaDesign/ร้านญาดาดีไซน์ ทำป้ายและสิ่งพิมพ์ทุกชนิด
อยู่เหนือเรือน จำจังหวัดตาก (ผู้ทำแบบส่งพิมพ์ / เผยแพร่ / ประชาสัมพันธ์) หนังสือพิมพ์บ้านเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น