8 นโยบายการศึกษา "จาตุรนต์ ฉายแสง"
ศึกษาธิการ - นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แถลงนโยบายการศึกษา พร้อมประกาศ 8 นโยบาย เพื่อเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล และสานต่องานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2556 ที่ห้องประชุมราชวัลลภ
•
ย้ำการพัฒนาคน เป็นโจทย์สำคัญของการปฏิรูปการศึกษา และยกระดับพัฒนาประเทศ
รมว.ศธ.กล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษาได้พิจารณาจากโจทย์ใหญ่ คือขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ ในภูมิภาคและสังคมโลก ในขณะที่ปัจจุบันได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งสหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรป รวมทั้งประเทศใหญ่ๆ ของทวีปเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แม้บางประเทศ เช่น จีน จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วมาก ก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวทำให้มีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจลง ในสภาพเช่นนี้จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเตรียมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อที่จะให้อยู่รอดในภาวะการณ์ปัจจุบันหรือในอนาคตต่อไป นอกจากนี้จะมีการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน พร้อมทั้งความพยายามที่จะเชื่อมโยงกันของกลุ่มประเทศอาเซียนกับนอกภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
การจะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน จึงจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบ Logistics ที่สำคัญของประเทศ เช่น ด้านการคมนาคม การสื่อสาร ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนและกำลังเร่งดำเนินการในขณะนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่สำคัญมากและขาดไม่ได้ คือ "การพัฒนาคน" เพราะฉะนั้นจึงเป็นโจทย์ที่สำคัญของการจัดการศึกษาและปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย
การศึกษาต้องเดินหน้าสู่การสร้าง การพัฒนา เตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับสังคมโลก โดยเฉพาะสังคมโลกในศตวรรษที่ 21 เป็นผลจากการปฏิวัติด้านดิจิทัล (Digital Revolution) และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่ทำให้โลกทั้งโลกเชื่อมโยงและสื่อสารถึงกันได้อย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องสร้างและพัฒนาให้คนเป็นทรัพยากรมนุษย์ ที่มีความสามารถ มีทักษะ ความถนัด ความชำนาญพร้อมจะขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาประเทศสู่การเป็นประเทศพัฒนาในระดับที่สูงขึ้น
•
ประกาศนโยบาย "2556 ปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา"
จากผลการประเมินการจัดอันดับโดย IMD พบว่าในปี ค.ศ.2013 การศึกษาไทยอยู่ในอันดับที่ 51 จาก 60 ประเทศ และผลการประเมินการทดสอบ PISAทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน ในปี ค.ศ.2009 พบว่าเด็กไทยอยู่ในอันดับที่ประมาณ 50 จาก 65 ประเทศ ในขณะที่ผลการจัดอันดับ 400 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก โดย Times Higher Education World Rankings ในปี ค.ศ.2012-2013 พบว่ามีมหาวิทยาลัยไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอยู่ในกลุ่ม 351-400 เป็นสภาพที่เป็นจริงที่เราประสบอยู่
รัฐบาลปัจจุบันมีนโยบายด้านการศึกษาที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษา ซึ่งได้แถลงไว้ชัดเจนต่อรัฐสภา ให้มีการปฏิรูประบบการเรียนรู้ ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลมีความเข้าใจและกำหนดเป็นนโยบายที่ปฏิรูปการศึกษา และได้ดำเนินการมาเป็นลำดับ โดยนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ.คนล่าสุด ได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปหลักสูตรอย่างตั้งใจและจริงจัง แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์ของสังคมโลก จากโจทย์ที่ประเทศนี้จะต้องรับมือ ก็มีความจำเป็นที่เราจะต้องยกเครื่องการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ มาตรฐานในระดับสากล และสอดคล้องกับสังคมโลกยุคใหม่
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ควรจะประกาศให้ "การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ" โดยกำหนดให้ปี 2556 จากนี้ไปเป็น "ปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา" ซึ่งหมายความว่า เราจะทำตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยพลังของสังคมทั้งสังคมมาช่วยกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแนวนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล และสานต่องานที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว
•
เป้าหมายมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้คิด วิเคราะห์ เรียนรู้ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21
เพื่อให้ปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษาเป็นผลสำเร็จ จึงขอเสนอเป้าหมายมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยภายในปี พ.ศ.2558 ซึ่งไปพ้องกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปีเดียวกัน ดังนี้
- ให้ผลการจัดอันดับการศึกษาไทย ผลการทดสอบ PISA ของไทย ให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น
- ให้สัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาต่อสามัญเพิ่มขึ้นเป็น 50 : 50
- ให้มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับโลกมากขึ้น
- ให้มีการกระจายโอกาสและเพิ่มความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้น
ทั้งนี้ โดยเน้นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนที่มีศักยภาพเข้ามามีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ จัดและสนับสนุนการศึกษามากขึ้น คือวงการการศึกษา บุคลากรทางการศึกษาของรัฐทั้งหมด ต้องมีความเข้าใจร่วมกันว่า การศึกษาของภาคเอกชนเป็นกำลังสำคัญของประเทศ
•
8 นโยบายที่จะเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล และสานต่องานที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว
1. เร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิรูปให้มีความเชื่อมโยงกันทั้งหลักสูตรและการเรียนการสอน ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่ การพัฒนาครู และการพัฒนาระบบการทดสอบ การวัดและประเมินผลที่ได้มาตรฐานและเชื่อมโยงกับหลักสูตรและการเรียนการสอน และการพัฒนาผู้เรียน
การที่ใช้คำว่า "ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน" ก็คือ เรื่องปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอน ต้องมีการทดสอบประเมินผล ซึ่งการทดสอบประเมินผลต้องคำนึงถึงหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ไม่ใช่เป็นการทดสอบที่ไม่สัมพันธ์กันหรือไม่คำนึงถึงการเรียนการสอน นอกจากนี้ การทดสอบของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติฯ ซึ่งโยงไปถึงระบบการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ปัจจุบันยังส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวคือ หากจัดการทดสอบเหมือนที่ผ่านมา จะทำให้คนในวงการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระบบไม่ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการศึกษาของตนเอง เนื่องจากผู้เกี่ยวข้อง คือ นักเรียน ครู ผู้ปกครอง เห็นความสำคัญของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่าการเรียนในระบบ ความพยายามในการปฏิรูปการศึกษาจึงไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวไม่ให้ความสำคัญ
ส่วนการประเมินวิทยฐานะความก้าวหน้า ก็ควรจะต้องเชื่อมโยงกับหลักสูตรการเรียนการสอน การประเมินสถานศึกษา มีผู้กล่าวว่าควรให้เด็กคิดเป็นวิเคราะห์เป็น แต่ในบางครั้งก็ยังไม่ได้หารือร่วมกันว่าการเรียนการสอนและหลักสูตรเป็นอย่างไร จึงต้องใช้หลักสูตรเป็นแกนหลักเพื่อมุ่งไปที่ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และมีผลต่อการพัฒนาครู ประเมินวิทยฐานะและความก้าวหน้าในวิชาชีพครูด้วย
ดังนั้นใน 6 เรื่อง คือ ปฏิรูปหลักสูตร ปฏิรูปการเรียนการสอน การทดสอบ/วัดและประเมินผลผู้เรียน การรับบุคคลเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย การประเมินวิทยฐานะและความก้าวหน้าในวิชาชีพครู และการประเมินสถานศึกษา ต้องเชื่อมโยงไปที่คุณภาพผู้เรียนและผลสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นหัวใจของนโยบายทั้งหมด
รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า การที่จะดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ทั้งระบบ ต้องมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
- ต้องเร่งรัดและสานต่อเรื่องปฏิรูปหลักสูตรให้ก้าวหน้าและให้แล้วเสร็จ โดยจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะชีวิตที่เหมาะสมทุกระดับชั้นการศึกษา
- พัฒนากระบวนการเรียนการสอนในปัจจุบันและเพื่อรองรับหลักสูตรใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง มีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น สอดคล้องกับการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ โดยจะเริ่มจากวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ และการคิดวิเคราะห์
- พัฒนาระบบทดสอบ วัดและประเมินผลทั้งภายในและภายนอก ให้เป็นเครื่องมือส่งเสริมการปฏิรูปการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีมาตรฐานเทียบเคียงได้กับนานาชาติ โดยเชื่อมโยงกับเนื้อหาสาระในหลักสูตรกับการเรียนการสอน รวมทั้งพัฒนาระบบการคัดเลือกบุคคลให้เข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการเรียนการสอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. ปฏิรูประบบผลิตและพัฒนาครู
ให้มีจำนวนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการ มีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรปัจจุบัน รองรับหลักสูตรใหม่ และการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ รวมทั้งพัฒนาระบบประเมินวิทยฐานะครูให้เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ดูแลระบบสวัสดิการ และลดปัญหาที่บั่นทอนขวัญ กำลังใจของครู ให้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนและคุณภาพผู้เรียน
3. เร่งนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาใช้ในการปฏิรูปการเรียนรู้
สร้างมาตรฐานการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) และพัฒนาเนื้อหาสาระ พัฒนาครู และการวัดประเมินผลที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งเพื่อเป็นเครื่องมือให้เกิดระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตในสังคมไทย
ทั้งนี้ แท็บเล็ตเป็นเรื่องสำคัญหนึ่งในนโยบายการศึกษาของรัฐบาล ที่ผ่านมาเรามักจะเน้นเฉพาะการจัดให้เด็กได้มีแท็บเล็ต ซึ่งเป็นรายละเอียดว่าเด็กจะได้เมื่อไร จำนวนเท่าไร คืบหน้าไปแล้วอย่างไร หรือมีเนื้อหากี่รายกี่ชิ้น แต่เรื่องใหญ่ว่าที่จะต้องเร่งพัฒนา คือ "เนื้อหาสาระ" เพื่อจะให้มีทั้งเนื้อหาที่ควรรู้ รูปแบบของแบบทดสอบ แบบฝึกหัด เทคนิค นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ให้เด็กใช้กับแท็บเล็ต เพื่อทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ ได้ผลจริง เด็กได้รับผลที่ดีในการใช้งานดีกว่าไม่ใช้แท็บเล็ต ที่ต้องโยงไปกับการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ที่มีข้อมูลข่าวสารไม่จำกัด ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการพัฒนาครู เพื่อให้เข้าใจการสอนที่มีเนื้อหาสาระแบบนี้ เพราะในโลกยุคใหม่ เราไม่สามารถสอนแบบเดิม เช่น ให้เด็กค้นหาว่าคำนี้แปลว่าอะไร เด็กก็ไปค้นหาในเวลาไม่นาน ก็สามารถตอบได้ แต่จะทำอย่างไรให้การสอนที่ส่งเสริมให้เด็กได้รู้จักค้นหา คิด วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ และสามารถตั้งคำถามได้เอง ฯลฯ ซึ่งเนื้อหาที่บรรจุลงในแท็บเล็ตจะต้องมีมาตรฐานที่ผู้เชี่ยวชาญบอกได้ว่า เนื้อหาสาระใดจะช่วยสร้างเด็กได้จริง เป็นประโยชน์จริง ไม่ใช่ใครคิดหรือประดิษฐ์แบบเรียน แบบฝึกหัด เนื้อหาสาระอะไรขึ้นมาได้ ก็บรรจุลงไปในแท็บเล็ต ซึ่งตรงนี้ยังขาดอยู่ และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการต่อไป
4. พัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบได้กับระดับสากล ให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
โดยผลักดันให้เกิดการใช้กรอบคุณวุฒิวิชาชีพต ามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาใช้กำหนดทักษะความรู้ความสามารถที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ ผู้มีงานทำ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้า โดยได้รับค่าตอบแทนตามสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น โดยไม่ขึ้นกับวุฒิการศึกษาทั้งแบบอนุปริญญาหรือปริญญา
ความหมายคือ อาชีพนี้ ระดับนี้ มีความสามารถทางสมรรถนะมากเพียงใด อันจะช่วยทำให้สถานประกอบการหรือกิจการต่างๆ เพิ่มผลผลิตได้มากน้อยเพียงใด และจะแปรกลับมาเป็นรายได้ค่าตอบแทน ทั้งนี้คุณวุฒิวิชาชีพบางประเภท ผู้ได้รับการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพประเภทนี้ไม่จบปริญญาตรี แต่อาจจะมีรายได้หรือเงินเดือนสูงกว่าผู้จบปริญญาตรีก็ได้ ส่งผลถึงเส้นทางความก้าวหน้าทางอาชีพและรายได้ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาต่อสามัญเป็น 50:50 และทำให้คนต้องการเข้ามาเรียนสายอาชีวศึกษามากขึ้น เพราะเป็นความก้าวหน้ามีรายได้สูง มีสมรรถนะ ทั้งยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของการอาชีวศึกษาด้วย
5. ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาเร่งพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน มากกว่าการขยายเชิงปริมาณ
ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยให้มีการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาของไทย เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน และจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพัฒนาสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก (World Class University) ให้มากขึ้น
รมว.ศธ.กล่าวว่า การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของไทยนั้น เป็นเรื่องที่ต้องแลกเปลี่ยนความเห็น หาองค์ความรู้มากพอสมควร เพื่อให้เห็นพ้องต้องกัน เพราะมหาวิทยาลัยของไทยที่ติดอันดับในกลุ่ม 351-400 มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนมหาวิทยาลัยที่เหลือจะมีคุณภาพอย่างไร คำตอบคือไม่ค่อยมีใครทราบมากนัก ซึ่งคำถามคือเราจะพัฒนาการอุดมศึกษาอย่างไร หากใช้ความคิดว่าทำอะไรได้ดีที่สุดก็ทำกันไป แต่การที่จะรู้ว่ามหาวิทยาลัยใดสอนเป็นอย่างไร แนวทางหนึ่งคือเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ แต่อีกแนวทางหนึ่งคือควรให้เปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยด้วยกันเอง โดยใช้กติกาหรือเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นสากล เพื่อให้คนในวงการศึกษาได้ทราบว่ามหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นอย่างไร และมหาวิทยาลัยก็จะทราบว่าตัวเองเป็นอย่างไร ประการสำคัญคือทั้งสังคมก็จะได้รับทราบว่ามหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นอย่างไรด้วย ไม่ใช่เกิดความรู้สึกว่าหากมาจากมหาวิทยาลัยนี้ ก็รู้สึกจะเข้าท่าดี แต่มาจากอีกมหาวิทยาลัยก็รู้สึกจะไม่ค่อยเก่งด้านนั้น อันนี้ถือเป็นความรู้สึกและประสบการณ์ตรงเท่านั้น ไม่ได้อาศัยการวิเคราะห์และการประเมินที่เป็นระบบ
ดังนั้น สาระสำคัญของนโยบายนี้ คือ ต้องการให้มีกระจก เพื่อให้มหาวิทยาลัยส่องตัวเอง และต้องการให้สังคมช่วยกันผลักดัน เพราะมหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานที่ต้องให้ความเป็นอิสระ ให้มหาวิทยาลัยคิดเอง ไม่ใช่เป็นการสั่งการจากรัฐมนตรี ขณะเดียวกันสังคมก็ต้องคิดกลไกว่าจะผลักดันให้มหาวิทยาลัยพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างไร ความหมายในแง่นี้คือ สังคมกับมหาวิทยาลัยไม่เป็นอิสระจากกัน
6. ส่งเสริมให้เอกชนและทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมจัดและสนับสนุนการศึกษามากขึ้น
สนับสนุนความร่วมมือแบบเป็นหุ้นส่วนทางการศึกษารัฐและเอกชน (Public Private Partnership) ตลอดจนเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตร เป็นวิทยากร สนับสนุนการฝึกงานและเรียนรู้การทำงานจริงในสถานที่ทำงาน โดยในส่วนของการอาชีวศึกษานั้น การที่ภาคเอกชนเข้ามาร่วมจัดการศึกษาแบบทวิภาคี ก็ยังไม่เพียงพอ แต่ต้องร่วมจัดการศึกษาตลอดกระบวนการ คือต้องการหลักสูตรหรือกระบวนการแบบใด ต้องมากำหนดหลักสูตรร่วมกัน โดยรัฐมีหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมและอาศัยภาคเอกชนให้มามีบทบาทในการจัดการศึกษาให้มากขึ้น โดยรัฐควรมีหน้าที่ในการกำกับควบคุมเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาคุณภาพมาตรฐานการจัดการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรมุ่งกำกับควบคุมหรือห้ามเอกชน
7. เพิ่มและกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มอายุได้รับบริการการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส และการพัฒนากองทุนเงินกู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (ICL) ให้สามารถเป็นกลไกในการพัฒนาคุณภาพ เพิ่มโอกาสและผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ โดยขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามแนวคิดของกองทุน ICL ตามที่ได้ก่อตั้งหรือริเริ่มขึ้นมา ซึ่งต้องอาศัยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้สนใจที่เคยดำเนินการ เข้ามาช่วยดำเนินการอย่างจริงจัง
8. พัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ด้วยการสนับสนุนและพัฒนาการศึกษาและสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ สังคม อัตลักษณ์ และความต้องการประชาชนในท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัย การสร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา
•
5 กลไกในการขับเคลื่อน
เพื่อให้บรรลุผลตามนโยบาย และบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีกลไกขับเคลื่อน 5 ประการ ดังนี้
1. เร่งรัดจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ตามกฎหมายกำหนด ซึ่งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ.คนล่าสุด ได้ดำเนินการใกล้จะเสร็จแล้ว กฎหมายดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสในการใช้ทรัพยากรให้มากขึ้น และประการสำคัญคือ จะทำให้เราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
2. จัดตั้งสถาบันเพื่อวิจัยหลักสูตรและพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมาตรฐาน การจัดทำหลักสูตรซึ่งมีการปรับปรุงเป็นระยะมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 ทั้งนี้เรื่องสำคัญของการศึกษาประเทศไทยเกี่ยวกับหลักสูตรก็คือ เราใช้วิธีเชิญผู้เชี่ยวชาญมาช่วยกันจัดทำ เมื่อจัดทำเสร็จแล้วก็ตีพิมพ์ จากนั้นผู้เชี่ยวชาญก็จะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง และอาจจะนัดพบกันอีกครั้งในอีก 5-6 ปี แต่สิ่งที่ขาดไปก็คือ ควรมีองค์กรหรือกลไกที่จะทำการวิจัยพัฒนาเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง มีเจ้าภาพที่ชัดเจน มีการประเมินได้ว่าองค์กรต่างๆ ทำงานก้าวหน้าไปแล้วอย่างไร หลักสูตรเป็นอย่างไร ครูนักเรียนมีความเห็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดทำหลักสูตรของต่างประเทศ จึงพบว่าหลักสูตรเล่มหนึ่งมีขนาดเล็ก แต่อ้างผลการวิจัยเต็มไปหมดทุกหน้าว่าเหตุใดจึงบอกว่าเด็กชั้นนี้ควรเรียนอะไร และในหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ ก็มีองค์กรที่ดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ใช่วิธีเชิญผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งบางครั้งก็หลงลืม ไม่ได้ติดตามการศึกษา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งสถาบันเพื่อวิจัยหลักสูตรและพัฒนาการเรียนการสอน
3. สร้างความเข็มแข็งของกลไกการวัดผล ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผล พัฒนาให้มีตัวชี้วัดคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของประเทศที่เทียบเคียงได้ในระดับสากล เพื่อประเมินผลสำเร็จของระบบการศึกษาไทยในภาพรวม ซึ่ง ศธ.ต้องหารือกับองค์กรต่างๆ เช่น สทศ. สมศ. เพื่อที่จะทำงานร่วมกัน
4. เร่งรัดให้มีพระราชบัญญัติอุดมศึกษา เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อสังคมของสถาบันอุดมศึกษา
5. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงาน องค์กร และกลไกที่เกี่ยวข้อง
•
2 แนวทางบริหารจัดการ
ในการบริหารงานให้เป็นไปตามนโยบายและกลไกดังกล่าวข้างต้น จะดำเนินการเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1. ตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนเรื่องสำคัญต่างๆ เช่น ผลการทดสอบ PISA ของไทย เมื่อได้ตั้งเป้าหมายให้ผลการจัดอันดับการศึกษาไทยอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ก็จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยระดมผู้ที่เกี่ยวข้องและภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มต้นจากคณะกรรมการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์จากการทดสอบ PISA
2. จัดประชุมปฏิบัติการ (workshop) อย่างเป็นระบบ โดยจะระดมความคิดและการมีส่วนร่วมจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนให้เป็นไปตามนโยบาย
ภาพ สถาพร ถาวรสุข
•
ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของ ศธ. และทั้งสังคม
รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า ทั้งหมดนี้เป็นนโยบายสำคัญและแนวความคิดที่จะอาศัยความร่วมมือจากทุกส่วนของ ศธ. เพราะการศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญจำเป็นมากของประเทศในช่วงนี้และช่วงต่อไป การพัฒนาคนเป็นเรื่องจำเป็นที่เราไม่อาจที่จะละเลยได้ เราจะร่วมกันทำในเรื่องที่ยากและท้าทาย คือที่พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยากมาก ต้องอาศัยหลายฝ่าย แต่หากประเทศนี้จะไปรอด จะอยู่ในเวทีแห่งการแข่งขันยุคใหม่ได้ เราต้องปฏิรูปการศึกษาให้ได้ ต้องพัฒนาคนให้ได้ ดังนั้นแม้จะยาก แต่ต้องพยายามช่วยกันให้ได้ และหวังว่าทั้งบุคลากรของการศึกษาจะช่วยกันคิดต่อว่าเราจะทำกันอย่างไร รวมทั้งเสนอความเห็น เสนอขอให้แก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติม ก็ยินดีที่จะรับมาพิจารณาร่วมกัน หวังว่าทุกท่านมีความพร้อมที่จะทำงานในเรื่องยากและอาศัยผู้เกี่ยวข้อง ผู้สนใจในสังคมทั้งสังคม เพื่อร่วมกันยกเครื่องการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ รวมพลังในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยต่อไป
รมว.ศธ.ได้ตอบคำถามของสื่อมวลชน กรณีการแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชันด้วยว่า "ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานทำงานด้วยความสุจริตโปร่งใส กรณีที่เกิดการทุจริตขึ้นแล้ว ก็จะดำเนินการอย่างเคร่งครัด ตรงไปตรงมา เพื่อหาคนทำผิดมาลงโทษและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ตั้งแต่การทำงาน การบริหารงาน รวมไปถึงการแต่งตั้งโยกย้าย ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างสุจริต และขอแจ้งไว้ด้วยว่า หากมีใครแอบอ้างถึงตน ซึ่งตนไม่มีนโยบายมอบใครไป หรือว่ามีใครไปแอบอ้างไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือเรื่องไม่ดีก็ตาม หากท่านสงสัยก็ให้มาแจ้งกับตนไว้ก่อน หลักการทำงานในเรื่องนี้ คือต้องใช้หลักความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเที่ยงธรรมประกอบกัน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเกี่ยวกับการทุจริต จะใช้นโยบายเข้าไปมากนักไม่ได้ แม้นโยบายจะต้องทำตรงไปตรงมา แต่จะไปถึงขั้นกำหนดระยะเวลา ก็จะกลายเป็นการใช้ดุลยพินิจของฝ่ายการเมืองเข้าไปกำหนด แต่ที่สำคัญแน่นอนคือทุกเรื่องต้องไม่ล้มมวย ดังนั้นการจะไปบอกว่าเรื่องนั้นต้องเสร็จเมื่อนั้น เมื่อนี้ หากผู้เกี่ยวข้องบอกว่าต้องมีการสืบสวนสอบสวนและหาหลักฐานอีกมากมาย ก็จะกลายเป็นไปเร่งรัด อาจจะเสียหายอีกแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามจะทำให้มีประสิทธิภาพ ได้ผลจริง และมีความเที่ยงธรรม"
ขอขอบคุณข่าวสาร/ข้อมูลดีๆ จากเว็บไซต์ กระทรวงศึกษาธิการ